วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

คางคกสุรินัม

คางคก ที่ เลี้ยงลูกไว้ที่ผิวหนัง 

Surinam toad คางคกสุรินัม มันเป็นอะไรที่แปลกโคตรๆ จะไม่แปลกได้อย่างไรในเมื่อพวกมัน เลี้ยงลูกไว้ในผิวหนัง

รายละเอียดเกี่ยวกับ คางคกสุรินัม


  • คางคกสุรินัม มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Pipa pipa
  • คางคกสุรินัม มีอีกชื่อหนึ่งว่า คางคกนิ้วดาว เนื่องจากพวกมันมีพังพืดเชื่อมระหว่างนิ้วเท้าหน้าขนาดเล็ก ทำให้นิ้วเท้าแยกจากกันจนมีลักษณะคล้ายนิ้วแยกเป็น แฉกเหมือนดาว
  • คางคกสุรินัม มีถิ่นอาศัย ทางตอนเหนือ ของ อเมริกาใต้
  • บางครั้งพบคางคกพวกนี้มีลักษณะลีบแบนเหมือนใบไม้ แต่เมื่อมีอาหารอุดมสมบูรณ์พวกมันจะุรูปร่างอ้วน
  • คางคกสุรินัม มีลำตัวมีลักษณะคล้ายสี่เหลี่ยม ส่วนหัวเป็นสามเหลี่ยม มีสีเทาถึงสีน้ำตาลเข้ม ขนาดใหญ่ได้ถึง 20 เซ็นติเมตร แต่โดยทั่วไปจะมีขนาด 10-13 เซ็นติเมตร
การขยายพันธุ์ของ คางคกสุรินัม

  • เมื่อระดับน้ำมีการเพิ่มสูงขึ้น และอุณหภูมิเริ่มเปลี่ยนแปลง จะเป็นสัญญาณให้ คางคกสุรินัมเริ่มขยายพันธุ์
  • ตัวผู้จะส่งเสียงคลิก โดยการเคาะกระดูกไฮออยด์(Hyoid Bone) ในลำคอ เพื่อเป็นการเรียกหาตัวเมียใต้น้ำ
  • เมื่อพวกมันจับคู่กันได้ ตัวผู้จะจับตัวเมียในตำแหน่งด้านหน้า ของ ขาหลัง
  • พวกมันจะว่ายน้ำเป็นวงกลม จากใต้น้ำขึ้นสู่ผิวน้ำ หลายรอบ
  • โดยเมื่อหลังของตัวเมียใกล้ผิวน้ำ ตัวเมียจะปล่อยไข่ออกมา 3-6 ฟอง เพื่อผสมกับน้ำเชื้อของตัวผู้
  • พวกมันจะวางไข่ประมาณ 60 - 100 ฟอง และตัวผู้จะเป็นผู้นำไข่ผสมกับน้ำเชื้อ และนำไปวางบนหลังของตัวเมีย
  • เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 24 ชั่วโมง หลังของตัวเมียจะเริ่มบวม
  • เมื่อเวลาผ่านไป 10 วันไข่จะฟักเป็นลูกอ๊อต อาศัยอยู่ในผิวหนังของ คางคกตัวเมีย
  • เมื่อเวลาผ่านไป 10 - 20 อาทิตย์ ลูกอ๊อตจะโตเป็น กบ ที่มีขนาดเล็ก ประมาณ 2 เซ็นติเมตร พวกมันจะเริ่ม ออกจากผิวของแม่ เพื่อไปเผชิญโลกโดยลำพัง
คลังภาพคางคกสุรินัม


กบสุรินัม ในช่วงปกติจะมีร่างกายผอมแบนคล้ายใบไม้ หรือซากกบแห้ง


เมื่อไข่ปฏิสนธิ ไข่จะสุกคล้ายเม็ดสาคู บนหลังคางคกตัวเมียดังภาพ


จะเห็นว่า หลังของแม่คางคก จะมีตุ่มเล็กๆสีดำ ก็คือลูกคางคก และที่เห็นเป็นเส้นเล็กชี้ขึ้นมาก็คือ ขาหน้าของลูกคางคก





หมีแพนด้า


หมีแพนด้า 
ลักษณะทางกายภาพ
แพนด้ามีขนบริเวณ หู รอบดวงตา จมูก ขา หัวไหล่ สีดำ ในขณะที่บริเวณอื่นจะมีสีขาว มีฟันกรามขนาดใหญ่ และมีกล้ามเนื้อขากรรไกรที่แข็งแรงสำหรับเคี้ยวต้นไผ่ ซึ่งเป็นอาหารของมัน ตัวของมันที่อ้วนและลักษณะการเดินที่อุ้ยอ้าย ทำให้มันดูเป็นสัตว์ที่น่ารัก แต่ในยามที่มีภัยมาถึงตัว แพนด้าก็มีวิธีการต่อสู้เหมือนหมีทั่วๆ ไป นักวิทยาศาสตร์คิดว่าลักษณะสีขาว-ดำ ของแพนด้า อาจช่วยให้มันดูกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมที่เป็นภูเขา และมีหิมะ
ขนาด
เมื่อวัดส่วนสูงในท่ายืน 4 เท้า แพนด้าสูงประมาณ 2-3 ฟุต จากเท้าถึงหัวไหล่ ในขณะที่ท่ายืน 2 เท้า วัดได้ 4-6 ฟุต น้ำหนักประมาณ 80 ถึง 125 กิโลกรัม โดยตัวผู้จะมีน้ำหนักมากกว่าตัวเมีย 10 ถึง 20 %

ถิ่นที่อยู่อาศัย
แพนด้าอาศัยอยู่ในป่าไผ่ที่ความสูงประมาณ 3,600 ถึง 10,500 ฟุต ซึ่งครั้งหนึ่งพวกมันเคยอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ต่ำกว่านี้ แต่การถางป่าเพื่อทำฟาร์ม หรือเพื่อประโยชน์อย่างอื่น ทำให้มันต้องเปลี่ยนถิ่นที่อยู่อาศัย เราพบแพนด้าอาศัยอยู่บริเวณภูเขาทั้งในตอนกลาง และตะวันตกของประเทศจีน

ศัตรู
แพนด้าที่โตเต็มที่แล้วมีศัตรูน้อยมาก ศัตรูของมัน ได้แก่ เสือดาวที่อาศัยอยู่บนภูเขาที่มีหิมะ ซึ่งจับลูกหมีแพนด้าที่พลัดจากแม่ของมันกินเป็นอาหาร หรืออาจเป็นฝูงหมาป่าที่จับลูกหมีกินเช่นกัน แต่ศัตรูที่สำคัญที่สุดคือ มนุษย์ที่ล่าแพนด้าเพื่อนำหนังมาขายในตลาดมืด
อาหาร
โดยปกติแพนด้ากินอาหารประมาณ 40 ปอนด์ต่อวัน อาหารหลักของแพนด้าที่อาศัยในป่าคือต้นไผ่ บางครั้งในยามขาดแคลนอาหารหลัก แพนด้าก็กินหัวของพืชประเภทที่เราใช้หัวเป็นอาหาร (เช่น แครอท มันฝรั่ง) หญ้า และสัตว์ขนาดเล็ก แพนด้าที่เลี้ยงในสวนสัตว์ (ต่างประเทศ) นอกจากจะได้รับไผ่เป็นอาหารหลักแล้ว อาหารอื่นๆ ได้แก่ แครอท แอปเปิ้ล มันฝรั่ง
การสืบพันธุ์
ระยะเวลาผสมพันธุ์อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งในช่วงเวลานั้น ตัวเมียจะมีความต้องการเพียง 2 ถึง 3 วันเท่านั้น สิ่งที่ทำให้ตัวผู้และตัวเมียมาพบกันคือ เสียงร้อง หรือสิ่งที่ถูกขับออกมาจากตัวผู้หรือตัวเมียตามจุดต่างๆ เพื่อดึงดูดเพศตรงข้าม ตัวเมียใช้ระยะตั้งครรภ์ตั้งแต่ 95 ถึง 160 วัน และถึงแม้ว่าแพนด้าตัวเมียสามารถให้กำเนิดลูกแพนด้าฝาแฝดได้ แต่ส่วนใหญ่จะมีลูกแพนด้าเพียงตัวเดียวที่รอดชีวิต เนื่องจากอาหารที่จำกัด

ถ้ายกเว้นสัตว์จำพวกจิงโจ้แล้ว เราถือว่าลูกแพนด้าเป็นลูกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เล็กที่สุด ลูกแพนด้าที่เกิดใหม่มีน้ำหนักเพียง 4 ถึง 6 ออนซ์เท่านั้น (110 ถึง 170 กรัม) และยังไม่ลืมตา ลูกแพนด้ามีการเจริญเติบโตที่ช้า จะมีน้ำหนักเท่ากับแพนด้าพ่อ-แม่ของมันเมื่ออายุประมาณ 2 ถึง 4 ปี ลูกแพนด้าจะอยู่กับแม่จนอายุประมาณ 2 ปี จึงออกไปเผชิญโลกด้วยตัวเอง เนื่องจาก อายุที่สามารถสืบพันธุ์ได้ของแพนด้าตัวเมีย อยู่ในช่วงประมาณ 6 ถึง 20 ปี และตัวเมียจะให้กำเนิดลูกอย่างมาก 2 ปีต่อลูกแพนด้า 1 ตัว ดังนั้นแพนด้าตัวเมียสามารถให้กำเนิดลูกแพนด้าได้อย่างมากประมาณ 7 ตัว ในช่วงอายุขัยของมัน ซึ่งถือว่าเป็นอัตราการให้กำเนิดลูกที่น้อยมาก และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมจำนวนแพนด้าที่เกิดใหม่จึงไม่สามารถทดแทนแพนด้าที่ตายไปจากการถูกล่าได้ การลดจำนวนลงอย่างมากของหมีแพนด้าในระยะเวลาที่ผ่านมา ทำให้มีการตั้งองค์กรที่ทำหน้าที่อนุรักษ์หมีแพนด้าขึ้น



อายุขัย
นักวิทยาศาสตร์ยังหาข้อสรุปที่แน่นอนไม่ได้ว่าแพนด้ามีอายุได้ยืนยาวเท่าไร มีสถิติที่บันทึกไว้โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวจีนว่า แพนด้าที่สวนสัตว์มีอายุถึง 35 ปี

พฤติกรรม
แพนด้ามักอยู่ในท่านั่งเวลากินอาหาร ซึ่งคล้ายกับคนนั่ง มันใช้อุ้งเท้าของมันช่วยจับต้นไผ่ในขณะที่กินอาหาร เวลาส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับการพักผ่อน การกิน และการหาอาหาร งานวิจัยช่วงแรก ทำให้นักวิทยาศาสตร์คิดว่า แพนด้าเป็นสัตว์ที่ชอบอยู่โดยลำพัง จะพบกันเฉพาะช่วงฤดูกาลผสมพันธุ์เท่านั้น แต่จากงานวิจัยต่อมา พบว่าแพนด้ามีการอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ โดยแต่ละกลุ่มมีการใช้ถิ่นที่อยู่อาศัยบางบริเวณร่วมกัน และบางครั้งสมาชิกในกลุ่มหนึ่งออกมาพบสมาชิกในกลุ่มอื่นในช่วงฤดูกาลผสมพันธุ์ อย่างไรก็ตาม คงต้องมีการทำวิจัยต่อไป




Cr.http://blog.eduzones.com/nongkanya/30246

ปลากระโห้

ปลากระโห้




ชื่อวิทยาศาสตร์  Catlocarpio  siamensis
ชื่อสามัญ  Saimese  giant  carp
ชื่อไทย   ปลากระโห้
รูปร่างลักษณะ  มีหัวใหญ่มาก  ปากกว้าง  ส่วนหัวที่ใหญ่นั้นมี  ขนาด 1 ใน  3  ของความยาวลำตัวทีเดียว  มีริมฝีปากหนา  แก้มใหญ่  ครีบต่างๆจะมีสีแดงเรื่อหรือเป็นสีส้ม ลำตัวด้านหลังมีสีเข้มกว่าด้านท้อง  ไม่มีหนวด ไม่มีฟันอยู่ในปากแต่มีฟันอยู่ที่ลำคอ  ตัวผู้มีขนาดเล็กกว่าตัวเมีย  ตัวเมียมีสีขาวนวลหรือชมพูอ่อน  ตัวผู้มีสีเทา
ประวัติถิ่นที่อยู่อาศัย ตามแม่น้ำเจ้าพระยา  แม่น้ำแม่กลอง  แม่น้ำป่าสัก  นอกจากนี้ยังมีในภาคเหนือและภาคอีสาน
อุปนิสัย   เมื่อถึงฤดูน้ำหลาก  จะขึ้นไปกับน้ำแล้วหากินกับแหล่งน้ำตื้น   เมื่อถึงคราวจับคู่วางไข่  ตัวเมียจะว่ายน้ำนำหน้าตัวผู้แล้วจะหงายท้องขึ้น ตัวผู้จะเข้าประกบแล้วฉีดน้ำเชื้อมาผสมกับไข่    

   ปลากะโห้เป็นปลาน้ำจืดตระกูลคาร์พที่ใหญ่ที่สุดชนิดหนึ่ง มีเกล็ดใหญ่ ลำตัวมีสีเทาปนดำ หรือชมพูปนขาว ครีบมีสีแดง เป็นปลาที่อาศัยในแม่น้ำโดยเฉพาะแม่น้ำในภาคกลางของประเทศไทย เช่น แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำก่ำ แม่น้ำน้อย แม่น้ำป่าสัก แม่น้ำท่าหลวง แม่น้ำมูล และแม่น้ำโขง แต่แหล่งน้ำที่สามารถรวบรวมปลาชนิดนี้ได้มากนั้นได้แก่ ในแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่จังหวัดอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ขึ้นไป จนถึงเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท โดยเฉพาะในแหล่งน้ำลึก 


   ที่เรียกว่า" วัง " ได้แก่บริเวณตำบลบ้านแป้ง อ.พรหมบุรี ,ต.บ้านไร่ อ.เมือง, ต.วัดเสือข้าม อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี, อ.สรรพยา จ.ชัยนาท นอกจากนี้ยังพบปลากะโห้ อาศัยอยู่ในหนอง บึงต่างๆที่มีน้ำท่วมถึง เช่น บึงบอระเพ็ด เคยพบขนาดใหญ่ที่สุดมีความยาวประมาณ 3 เมตร น้ำหนัก 120 กิโลกรัม ลักษณะโดยทั่วไปพบลำตัวสีเทาปนด้า หรือสีชมพูปนขาว ครีบมีสีแดง มีฟันในล้าคอ 2 แถวๆ ละ 4 ซี่ เป็นปลาที่มีส่วนหัวใหญ่มาก ไม่มีหนวด ซี่เหงือกยาวและถี่ เป็นปลาที่เติบโตได้เร็วมาก มีความสวยงามมีนิสัยกินแพลงค์ตอนพืชเป็นอาหาร 
   ด้วยพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีสายพระเนตรกว้างไกล พระองค์ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้กรมประมงน้ำพ่อแม่พันธุ์ปลากระโห้ที่ทรงเลี้ยงไว้ในบ่อบริเวณพระต้าหนักจิตรลดารโหฐาน ซึ่งเป็นปลากระโห้สายพันธุ์แม่น้ำเจ้าพระยามาเพาะพันธุ์ จนประสบความส้าเร็จในการเพาะพันธุ์ปลากระโห้แบบผสมเทียมครั้งแรกของโลกเมื่อปี พ.ศ.2528


    ปลากระโห้ยักษ์โผล่กินขนมจีน ริมแม่น้ำกลอง จังหวัด สมุทรสงคราม แม้จะเป็น ปรากฏการณ์แบบนานทีปีหน แต่ก็เรียก ความสนใจคนละแวก ใกล้เคียง และ ไกลออกไป หลายจังหวัด เดินทางมาดูกัน ยู่ทุกปี 
  แผนที่เดินทางแบบสั้นๆง่ายๆไปให้ถึง ตลาดอัมพวา ถนนสายเดียวจะพา ผ่านอุทยาน ร. 2 จนเข้า เขตตำบลบางพรม อำเภอบางคนที ไปไม่มาก ก็ให้ดูป้ายแผ่นใหญ่ ซ้ายมือ เขียนว่า ลุ่มอนุรักษ์ปลากระโห้ยักษ์ เลี้ยวซ้ายตามลูกศรชี้เข้าไป 
  
 ใครไปตอนนี้...มีแต่สายน้ำเชี่ยวไหลเป็นเกลียวให้ดูเท่านั้น เพราะเจ้าปลากระโห้โผล่ไปเป็น ข่าวในทีวี ตั้งแต่ปีใหม่ 
  
 สำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานข่าวนี้มาก่อน คงสงสัยปลากระโห้โผล่ขึ้นมาทำไม 
  
 “เขาจะโผล่มากินขนมจีน ช่วง 15 ค่ำ และช่วง 1 ถึง 6 ค่ำ....ช่วงเวลานี้ คนริมแม่กลองเรียกว่า เวลาที่น้ำเกิด หรือไม่ก็เป็นช่วงเวลาน้ำขึ้นในตอนเช้า” 
  
 ราวิน สิทธิกรโสมนัส วัย 50 ปี เจ้าของบ้าน เจ้าของขนมจีน ที่ปลากระโห้ยักษ์ติดใจโผล่มา กินจนเป็นขาประจำ กล่าว 
  
 ราวินบอกล่วงหน้าไม่ได้ เจ้ากระโห้จะโผล่ขึ้นมาวันไหน เวลาไหน... 
  
 อย่างปีนี้ เจ้ากระโห้เริ่มว่ายโบกสะบัดหางให้เห็นอยู่หน้าบ้าน สักพักจะลอยตัว ขึ้น มาบนน้ำ ตามประสบการณ์ เมื่อแสดงตัวแล้ว จนวันเวลาเลย 6 ค่ำไปแล้ว... ก็จะ ไม่มาให้เห็นอีก 
  
 กลายเป็นว่า ใครไปในช่วงเวลานี้ไม่มีโอกาสเจอกระโห้ยักษ์ เจอแต่เจ้าของบ้าน ราวิน ก็ไม่เหน็ดเหนื่อย ที่จะเล่าให้ฟัง ปลากระโห้จะมาหรือไม่มา ให้สังเกตกระแสน้ำ 

  
    ทุกครั้งที่ปลากระโห้โผล่มา เป็นเวลาที่น้ำเกิด แสดงว่าชอบเล่นน้ำเกิด น้ำเกิดจะไหลแรง กระแสน้ำ ใต้น้ำก็ยิ่งแรง นิสัยเหมือนกับปลาเลี้ยงที่มีปัšมพ่นน้ำ ชอบว่ายสวนน้ำ สนุกสนาน กับการเล่นน้ำ 
   ปลากระโห้ตัวใหญ่ ขนาดที่ต้องใช้คำว่ายักษ์ โผล่โชว์ก็เป็นความไม่ธรรมดาอยู่ แต่ที่แปลก พิเศษกว่า อาจเรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์หนึ่งเดียวในโลก...ปลากระโห้ยักษ์ผูกพันเป็นพิเศษ กับราวินเจ้าของบ้าน ลอยตัวขึ้นมากินขนมจีนจากมือได้อย่างสนิทสนม 
   กว่าปลากระโห้ตัวใหญ่จะคุ้นเคยกับคนได้ เรื่องอย่างนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในวันสองวัน แต่เกิดขึ้น ต่อเนื่องยาวนานถึง 20 ปี 
   “ยังจำได้ วันนั้นเอาเศษแป้งขนมจีนไปเททิ้ง แล้วก็นั่งล้างจานชามอยู่ท่าน้ำ เห็นเงาปลาตัวดำๆ ใหญ่ๆ แหวกว่ายดูดขนมจีนอยู่ใต้น้ำ ดูจากหางที่โบก เห็นว่าเป็นปลาตัวใหญ่ ใหญ่มาก แต่ตอนนั้นยังเห็น ไม่ชัด ไม่รู้ว่าเป็นปลาอะไรแน่ 
      ก็คงแวะเวียนไปๆมาๆ กล้าๆกลัวๆ ทั้งคนทั้งปลา ต่อเนื่องมากว่าสิบปี จนเมื่อ 6 ปีที่แล้ว... เจ้าปลายักษ์ ขาประจำเศษแป้งขนมจีน ที่เคยแหวกว่ายให้เห็นไหวอยู่ใต้น้ำ ก็เกิดใจถึงลอยตัว ขึ้นเหนือน้ำ 


  
 “เห็นตัวเขาชัดเจน รู้ว่าเป็น...ปลากระโห้ ก็ตอนนี้” 
  
 ราวินเล่าว่า เมื่อเขาใจกล้า กล้าโผล่ ราวินก็เพิ่มจำนวนขนมจีนโยนให้ กระโห้ยักษ์ใจกล้าก็โผล่ มาเป็นขาประจำขนมจีน เป็นตัวที่สอง ไม่นาน ก็โผล่มาโชว์เป็นตัวที่สาม 
  
 เป็นขาประจำขนมจีนติดต่อหลายปี คุ้นเคยกันถึงขั้นกล้าโผล่ขึ้นมากินจากมือ 
  
 “เขาเชื่อง เพราะรู้ว่าคน บ้านหลังนี้ใจดี มีของให้กิน...” 
  
 ปลากระโห้ยักษ์ตัวแรก ราวินได้เห็นได้สัมผัสใกล้ชิด...เล่นได้ ลูบหัวได้ จนบอกได้ว่าเป็น ตัวใหญ่ที่สุด น้ำหนักกว่า 100 กิโลกรัม ราวินสังเกตเห็นปากมีติ่งยื่น เหมือนแผลเป็นจากการ โดนเบ็ดเกี่ยว หรือโดนกระแทกอย่างแรง จนเห็นเป็น ปุ่มเนื้อ 
  
 ราวินเลยตั้งชื่อให้มิตรรักกระโห้ยักษ์ตัวนี้ว่า...ติ่ง 
  
 ตัวต่อมา ทั้งสองตัว ตัวหนึ่งหางขาว อีกตัวหางนวล ยังคุ้นกับราวินไม่มาก 

  
    ปีก่อน ต้นปี 2546...ราวินเล่าว่า มีปรากฏการณ์พิเศษกว่าทุกปี...ตรงที่มีสมาชิกใหม่ เพิ่มเป็นตัวที่สี่ ขนาดของมัน ราวินเห็นชัดว่าเล็กกว่าสามตัวแรก 
  
 แต่ขนาดตัวเล็ก ราวินและเพื่อนบ้านประมาณว่า น้ำหนักไม่น่าจะน้อยกว่า 60 กิโลกรัม 
  
 แน่นอน แม้เป็นกระโห้ยักษ์น้องใหม่ แต่นิสัยก็เชื่องเหมือนกระโห้ยักษ์เพื่อนเก่า ลักษณะพิเศษของน้องใหม่ต่างจากตัวอื่น เห็นปราดเดียวก็จำได้ คือ...หางดำ 
  
 ต้นปี 2547 กระโห้ยักษ์ นับแต่ติ่ง หางขาว หางนวล เจ้าเก่า มากันแค่ 3 ตัว ส่วนเจ้าหางดำหายไป 
  
 กับติ่ง...กระโห้ยักษ์ใหญ่ ราวินบอกว่า ผูกพันกันจนเป็นความรัก หวังว่าปีหน้า ถ้าติ่งหายไปอีก ก็คง เสียใจมาก...เสียดายเพื่อน เสียดายกระโห้ตัวโชว์ เพราะทุกตัวยังไม่มีตัวไหนลอยขึ้นมาโชว์ เชื่องมือเหมือนติ่ง 
  
    เมื่อเจ้ากระโห้ยักษ์หางดำน้องใหม่หายตัวไป ก็ต้องคิดถึงอีกสามตัว หรือทุกๆตัวที่อยู่ใน ลำน้ำแม่กลอง ปลาใหญ่ขนาดนี้ ถ้ามันจะหาย ถูกชาวประมงจับได้ ก็คงไปไม่พ้นตลาดสด 
  
 ราวินได้ข่าวนี้จากเจ้าหน้าที่ประมง เขาบอกว่า เคยมีข่าวปลากระโห้ตัวใหญ่ ขายในตลาดสด ราชบุรี เมื่อปีที่แล้ว ขอดเกล็ดแล้วเรียบร้อย 
  
    สำหรับมนุษย์ที่ชอบกินเนื้อปลา ข้อมูลจากกรมประมงในเว็บไซต์ระบุว่า...ปลากระโห้ เป็นปลาที่มี รสอร่อย ใช้ปรุงอาหารได้ดี โดยเฉพาะเนื้อเพดานปาก กล่าวกันว่ามีรสชาติโอชะ ยิ่งนัก 
  
 ราวินไม่ได้เห็นกับตา ยังมีข้อสงสัย...แต่ราวินก็เชื่อ 


  
 แต่ความจริงจากแม่ค้าปลาตลาดสดราชบุรี กลับไม่แน่อย่างนั้น 

 ยศกร ชูเชิด วัย 40 ปี เจ้าของร้าน ป้าเข็ม (เจ้าเก่า) ขายกุ้ง หอย ปู ปลา ยืนยันว่า ถ้าจะถามหา ปลากระโห้ขนาด 10-20 กิโลฯ ตลาดแห่งนี้ก็พอจะหาได้

 “ใหญ่ขนาด...50-100 กิโลฯ คงไม่มีแน่” 

  
 ยศกรบอกว่า ปลาขนาดใหญ่มากๆ ใหญ่ เกินไป ไม่มีใครซื้อไปกิน ถึงร้านจะแล่ ขายเป็นชิ้นเล็กๆตัวใหญ่ขนาดนี้ 3 วัน ก็ขายไม่หมด 
  
 ยศกรขายปลามานาน อย่าว่าแต่ปลากระโห้ ปลาบึก แค่ 20 กิโลฯ ร้านก็ไม่อยากขาย 
  
 จากตลาดสดใหม่ เปลี่ยนมาคุยกับ เจ๊หนู วัย 34 ปี เจ้าของร้านขายปลาสด ตลาดเก่าราชบุรี ได้ความว่า ปลาขนาดใหญ่ที่สุด มักเป็นปลาเก๋า ตัวละ 10 กว่ากิโลฯ ก็ยกมาขายแทบไม่ไหวแล้ว 
  
 ถ้าใหญ่ขึ้นเป็น 15-18 กิโลฯ หรือใหญ่ที่สุด 20 กิโลฯ วางหน้าร้านก็เต็มร้าน “ชั้นขายปลามา 15 ปี ไม่เคยได้ยินข่าวมีร้านไหนนำปลาขนาด 50 กิโลฯมาขาย ถ้ามีขาย ข่าวนี้ต้องดังไปทั้ง ตลาดปิดข่าว ไม่มิดหรอก” 
  
 แต่คำยืนยันจากเจ๊หนู ก็ไม่รับประกันว่า ชะตากรรมเจ้ากระโห้ ยักษ์หางดำ จะไม่สิ้นสุดที่แผงขายปลาสด 
  
    เพราะเจ๊หนูบอกว่า ปลาขนาด 60 กิโลฯ ถ้าถูกจับไปขาย ก็อาจไปขายกับร้านอาหาร หรือ ภัตตาคาร ใหญ่ๆ แต่ถ้ามันยังอยู่ มันอยู่กันที่ไหน 
  
    ปลากระโห้เป็นปลาไข่แล้วไม่เลี้ยง ปล่อยทิ้งให้ลอยไปตามน้ำ ตามทิศทางของกระแสน้ำ ปลาชุดนี้น่าจะอยู่ทางเหนือน้ำ แถวเมืองกาญจนบุรี 
  
 ข้อมูลจากกรมประมง ปลากระโห้ มีชื่อเรียกอื่นว่า...ปลากระมัน, ปลาหัวมัน ชื่อสามัญ SIAMESE GIANT CARP และมีชื่อวิทยาศาสตร์ ว่า...Catlocarpio siamensis Boulenger 
  
 เคยมีถิ่นอาศัยชุกชุมในลุ่มแม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำเจ้าพระยา ไปจนถึงบึงบอระเพ็ด 
     ปัจจุบันจำนวนปลากระโห้ลดน้อยลงไปมาก แต่ก็ยังมีปรากฏให้พบเห็นอยู่บ้างใน ลำน้ำโขง... กินอาหารจำพวกแพลงก์ตอนและพันธุ์ไม้น้ำ 

  
 ตำนานปลากระโห้ยักษ์ ที่บันทึกกันไว้ ราวปี 2466 มีคนจับปลากระโห้ได้ในแม่น้ำ เจ้าพระยา ขนาดความยาวถึง 3 เมตร ขณะที่ปลากระโห้ขนาดใหญ่ทั่วไป จะมีขนาด 1- 2 เมตร 
  
    ชาวประมงรุ่นเก่าที่มีประสบการณ์รู้กันว่า ถ้าจับปลากระโห้ตัวใหญ่ได้ ต้องรีบแทงให้ตาย ปลากระโห้เป็นปลาที่ดิ้นมาก ขืนปล่อยไว้ มันจะดิ้นจนเรือพัง. 


วาฬสีน้ำเงิน

“วาฬสีน้ำเงิน” (Blue Whale) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ที่สุด และอาจเป็นสัตว์ขนาดใหญ่ที่สุดซึ่งอาศัยอยู่บนโลกนี้ แม้กระทั่งไดโนเสาร์ขนาดใหญ่ที่สุดซึ่งเคยครองแผ่นดินบนโลกยังมีขนาดเล็กกว่าวาฬชนิดนี้ เคยมีผู้พบเห็นวาฬสีน้ำเงินขนาดยาวถึง 33 เมตร หนัก 190 ตัน แต่โดยทั่วไปจะพบวาฬที่มีขนาดเล็กกว่านี้ โดยมีขนาดเฉลี่ย 25-26.2 เมตร หนัก 100-120 ตัน
 
ข้อมูลจากเนชันนัลจีโอกราฟิกระบุว่า เฉพาะลิ้นของวาฬสีน้ำเงินอย่างเดียวก็หนักเท่า ๆ กับช้างตัวหนึ่ง ส่วนหัวใจมีขนาดพอ ๆ กับรถยนต์คันหนึ่งเลยทีเดียว ในช่วงศตวรรษที่ 20 วาฬสีน้ำเงินถูกล่าจนเกือบจะสูญพันธุ์ กระทั่งช่วงกลางทศวรรษ 1960 ได้เริ่มมีการปกป้องวาฬชนิดนี้ และเร็ว ๆ นี้ประมาณว่า เหลือวาฬสีน้ำเงินในซีกโลกใต้อยู่ประมาณ 2,300 ตัว อีกทั้งมีหลักฐานว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นปีละ 7% แต่ยังไม่มีการประมาณจำนวนวาฬชนิดนี้ ที่ดีพอในบริเวณอื่นของโลก ถึงอย่างนั้น บีบีซีนิวส์ระบุว่า มีหลักฐานประชากรวาฬสีน้ำเงินเพิ่มจำนวนขึ้นในแอตแลนติกเหนือ โดยก่อนเริ่มอุตสาหกรรมล่าวาฬ คาดว่ามีวาฬสีน้ำเงินในท้องทะเลราว 200,000-300,000 ตัว และเชื่อว่าปัจจุบันน่าจะเหลือประมาณ 12,000 ตัว ซึ่งน้อยกว่า 1% ของจำนวนเดิมที่มีอยู่
 
ทำไมต้องล่า “วาฬ” ? วาฬถูกล่าเพื่อ “เนื้อ” และ “น้ำมัน” เป็นหลัก โดยการล่าวาฬสามารถย้อนกลับไปได้ไกลถึง 3,000 ปีก่อน ค.ศ.ชาวอินนูอิตในกรีนแลนด์ล่าวาฬเพื่อยังชีพ ส่วนชาวญี่ปุ่นและนอร์เวย์ต่างมีวัฒนธรรมในการล่าวาฬ โดยการล่าวาฬเป็นอุตสาหกรรมนั้นเริ่มต้นในคริสศตวรรษที่ 17 และมีการล่าวาฬหนักขึ้นในช่วงศตววรษที่ 18-19 โดยในอดีตเมืองต่าง ๆ ของสหรัฐฯ และยุโรปใช้น้ำมันจากวาฬเป็นเชื้อเพลิงในการจุดตะเกียง จนกระทั่งในปี 1986 คณะกรรมการควบคุมการล่าวาฬนานาชาติ (International Whaling Commission) หรือไอดับเบิลยูซี (IWC) ได้ห้ามการล่าวาฬเชิงพาณิชย์ ปัจจุบันความต้องการน้ำมันวาฬลดลงมาก และเหลือเพียงการล่าเพื่อเป็นอาหาร โดยปัจจุบันวาฬมิงก์ซึ่งเป็นวาฬขนาดเล็กที่ถูกล่ามากที่สุด
 
คณะกรรมการควบคุมการล่าวาฬนานาชาติจัดตั้งขึ้นเมื่อ 2 ธ.ค.1946 ณ กรุงวอชิงตัน ดี ซี สหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายเพื่อการล่าวาฬที่เหมาะสมต่อจำนวนวาฬที่มีอยู่ รวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมล่าวาฬ ปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 88 ประเทศ ซึ่งรวมถึงญี่ปุ่นและนอร์เวย์ที่ล่าวาฬเป็นวัฒนธรรมด้วย ภารกิจหลักของไอดับเบิลยูซี คือกำหนดจำนวนและตารางที่เหมาะสมในการล่าวาฬ ซึ่งการกำหนดนี้เพื่อคุ้มครองวาฬบางสปีชีส์ กำหนดพื้นที่เฉพาะให้วาฬได้หลบภัยจากการล่า จำกัดจำนวนและขนาดของวาฬที่จะถูกล่า วางเงื่อนไขสำหรับการเปิด-ปิดฤดูกาลล่า และห้ามล่าลูกวาฬและวาฬตัวเมียที่มีลูกอ่อน และผู้ล่าวาฬยังต้องรวบรวมรายงานการจับ รวมถึงสถิติและข้อมูลเชิงชีววิทยาให้แก่คณะกรรมการด้วย
วาฬสีน้ำเงินเป็นวาฬกรองกิน (baleen whale) มีแผ่นกรองซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกับเล็บที่เรียกว่า “บาลีน” (baleen) เชื่อมกับขากรรไกร และจัดเป็นสัตว์กินเนื้อ แต่เหยื่อของวาฬกลับเป็นแพลงก์ตอนสัตว์ขนาดเล็ก ๆ เวลากินอาหารสัตว์น้ำขนาดยักษ์นี้จะกลืนน้ำปริมาณมหาศาลเพื่อกรองเอา “กริลล์” (krill) สัตว์น้ำขนาดเล็กคล้ายกุ้งและกลืนกิน โดยวาฬต้องดำน้ำลงไปล่ากริลล์ที่ความลึกประมาณ 100 เมตร และปกติจะดำน้ำนาน 20 นาที แต่มีบันทึกสูงสุดว่าดำได้นานถึง 36 นาที ทั้งนี้ วาฬสีน้ำเงินที่โตเต็มวัยกินกริลล์วันหนึ่งได้มากถึง 4 ตัน
วาฬไม่ใช่ “ปลา” เราคุ้นเคยกับการเรียกวาฬว่า “ปลาวาฬ” เช่นเดียวกับการเรียกโลมาว่า “ปลาโลมา” แต่สัตว์น้ำทั้งสองชนิดนั้นเป็นสัตว์เลือดอุ่นที่เลี้ยงลูกด้วยนม ต่างจาก “ฉลาม” ที่จัดเป็นปลาชนิดหนึ่ง ทั้งวาฬและโลมาเป็นสัตว์ในลำดับเซตาเซีย (Cetacea) เช่นเดียวกัน โดยวาฬจะหายใจได้เช่นเดียวกับคน และหายใจแต่ละครั้งสามารถดำน้ำได้นานถึง 20 นาที และวาฬยังพ่นน้ำออกจากช่องหายใจได้สูงถึง 9 เมตร
วาฬแรกเกิดหนักได้ถึง 3 ตัน และมีขนาดถึง 8 เมตร โดยในช่วงปีแรกวาฬตัวน้อย จะกินนมแม่อย่างเดียวมากถึงวันละ 91 กก. ซึ่งวาฬ มีอายุเฉลี่ยประมาณ 80-90 ปี โดยศัตรูของวาฬ นอกจากมนุษย์แล้ว ยังมีปลาฉลามที่เป็นผู้ล่าอีกชนิดหนึ่ง นอกจากนี้ทุก ๆ ปี ยังพบว่าวาฬบาดเจ็บจากการปะทะกับเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่อีกด้วย วาฬสีน้ำเงินอาศัยอยู่ทั่วไปในมหาสมุทรทั่วโลก โดยมักจะว่ายน้ำเป็นกลุ่มเล็ก ๆ แต่ปกติจะพบเพียงลำพังหรือไปเป็นคู่ ในช่วงหน้าร้อนวาฬสีน้ำเงินจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในน่านน้ำแถบขั้วโลก และจะอพยพสู่แถบศูนย์สูตรในช่วงที่ฤดูหนาวมาเยือน โดยวาฬสีน้ำเงินจะว่ายน้ำได้ไกล 8 กม.ในเวลา 1 ชั่วโมง แต่หากตื่นเต้น หรือตกใจ วาฬสีน้ำเงินจะเร่งความเร็วได้ถึง 32 กม.ต่อชั่วโมง
นอกจากเป็นสัตว์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว วาฬสีน้ำเงินยังเป็นสัตว์ที่เสียงดังกังวานที่สุดในโลกอีกด้วย ซึ่งภายในสภาวะที่เหมาะสม วาฬสีน้ำเงินสามารถส่งเสียงถึงวาฬอีกตัวที่อยู่ไกล 1,600 กิโลเมตรได้ โดยจะส่งชุดเสียงเป็นคลื่นสั้น เสียงครวญครางหรือโหยหวนออกไป ทั้งนี้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าวาฬสีน้ำเงินไม่ได้ส่งเสียง เพื่อการสื่อสารเพียงอย่างเดียว แต่ใช้เพื่อนำทางใต้มหาสมุทรที่ลึกและอับแสง ด้วยสถานภาพใกล้สูญพันธุ์ของวาฬสีน้ำเงินนั้น สะท้อนให้เห็นว่าไม่มีสัตว์โลกใดรอดพ้นจากการคุกคามของมนุษย์ไปได้ แม้กระทั่งสัตว์ใหญ่ที่สุดในโลกนี้ แต่ยังไม่สายเกินไป ที่เราจะเพิ่มโอกาสให้เพื่อนร่วมโลกนี้ได้อยู่คู่กับมหาสมุทรต่อไป


Cr.http://www.pattayadailynews.com/th/2010/07/05/%E2%80%9C%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%AC%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E2%80%9D-%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98/

นกแก้ว

ประวัตินกแก้ว


นกแก้ว เป็นนกที่นิยมเลี้ยงในประเทศไทย


                   




(ชื่อวิทยาศาสตร์Psittacus torquata) แยกออกเป็นชนิดต่าง ๆ ได้มากกว่า 500 ชนิด 
มีพื้นเพที่อยู่อาศัยตั้งเดิมอยู่ในป่าทึบ ในเขตร้อนของประเทศ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย 
หมู่เกาะมลายู แอฟริกา ทางใต้ของทิศ เหนือของอเมริกา อินเดีย นอกจากนี้แล้วยังพบทาง
แถบตะวันตกของอินเดียโดยทั่วไป นกในตระกูลนกแก้วนั้น มักมีความแตกต่างไปจากนก
ตระกูลอื่นอยู่อย่างหนึ่ง คือ จงอย ปากตอนบนของนกแก้วสามารถเคลื่อนไหวได้โดยไม่รว
มกับหน้าผาก (ขากรรไกร) และมี ลักษณะเด่นได้แก่ ปากคมแข็ง จงอยปากงุ้มเข้าโคนใหญ่
ปลายแหลมน่ากลัว เท้ามีนิ้วข้าง หลังสองนิ้วและข้างหน้าสองนิ้วทุกนิ้วมีเล็บที่แหลมคม 
สามารถใช้เท้าจับกิ่งไม้ได้เหนียวแน่น ปีนป่ายคันไม้ได้เก่งเป็นพิเศษ และในบางโอกาสยัง
สามารถจับฉีกอาหารได้ด้วย ปาก ส่วนใหญ่เป็นสีแดง ขนเป็นสีเขียว สามารถ นำมาฝึกสอน
ให้พูดภาษาของมนุษย์ได้แทบทุกชนิด
สำหรับรังและที่อยู่อาศัยของนกแก้วโดยทั่วไปมักอยู่ตามในโพรงไม้ หรือโพรงหิน ไม่นิยม
ใช้วัสดุต่าง ๆ ทำรัง นกจากนกแก้ว เควเคอร์(Quaker Parrakeet) และ นกแก้ว อัฟเบริด์ 
(Lovebirds) 
นกแก้วทั้ง 2 ชนิดนี้ นิยมทำรังโดยใช้แขนงหรือกิ่งไม้เล็ก ๆ เศษ หญ้า เปลือกไม้โดยนำ
มาสานประกอบขึ้นเป็นรังเป็นนกปากงุ้มเป็นขอในวงศ์ Psittacidae ตัวสีเขียว ปากแดง 
อยู่รวมกันเป็นฝูง กิน
เมล็ดพืชและผลไม้ ในประเทศไทยมีหลายชนิด เช่น นกแก้วโม่ง (Psittacula eupatria 
แก้วหัวแพร (P. roseata) นกมาคอว์ อาหารที่ชอบกินคือผลไม้ โดยนกแก้วมีหลายชนิด
และมีสีสดใส 
ส่วนมากเราจะเห็นนกแก้วมีสีแดง สีน้ำเงิน สีฟ้า
นกที่คนไทยชอบเลี้ยงมาแต่โบรานมีนกแก้วรวมอยู่ด้วย เพราะนกแก้วสามารถเลียนเสียง
มนุษย์ได้ กล่าวกันว่ามันมีความจำดี เรียนรู้ได้เร็ว ถ้าพูดอะไรให้ฟังบ่อยๆก็สามารถพูดได้ 
กล่าวกัน
ว่าเมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชยกทับไปบุกอินเดียได้ทอดพระเนตรเห็นนกแก้วเข้า 
ก็ชอบ
พระทัยได้ทรงนำกลับยุโรปด้วย และในไม่ช้าก็เป็นที่นิยมมาก ด้วยเหตุนี้ในสมัยนั้นนกแก้ว
จึงมี
ราคาแพงมาก จึงได้มีการค้าขายนกแก้วทั้งในยุโรปและเอเชีย การที่คนเราชอบเลี้ยง
นกแก้วนั้นเห็นจะ
เป็นเพราะเหตุ 4 ประการ
  1. นกแก้วมีสีสวย รูปร่างงดงาม
  2. สามารถพูดเลียนภาษามนุษย์ได้
  3. เลี้ยงง่าย
  4. อายุยืน อย่างในเรื่อง Popular Pet Birds ของ R.P.N. Sinha กล่าวว่า นกแก้ว
  5. มีอายุยืนมาก อาจอยู่ได้ถึง 70 ปี